วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ความประทับใจใจมหาวิทยาลัย2

ค่าย-โคออบ

ค่าย ที่ โคราช 7คืน 8วันเป็ฯอะไรที่สนุกสนานเเละรวดเร็วมาก
คิดอยู่เเล้วว่ามันต้องเเฮปปี้มันก็เเฮปปี้ดีอยู่หรอกถ้าไม่ต้องไปรู้เกรดที่นั่น
ได้มาทั้งเพื่อน พี่ น้อง มิตรภาพ รอยยิ้มเเละน้ำตา
ไม่เคยคิดว่าต้องติดเอฟก็มาติดที่นี่เเละร้องไห้ที่นี่ ยังดีที่มีเพื่อน มีรุ่นพี่คอยปลอบใจ
นี่ถ้าเราอยู่บ้านเราคงตายไปเเล้ว มันเป็นอะไรที่เศร้ามากมายอะ ใครไม่เจอไม่มีทางรู้
อยากบอกว่าสถานที่สุดยอดจิงๆ กันดาน น้ำเเดง ดินเเดง เเมลงสาบ ตุ๊กแก
ก่อนไปน่าจะบอกนีสนึงว่า ****ค่ายนี้ไม่เหมาะกับคนใจเสาะ ****
เเล้วการไปครั้งนี้เราก็ได้เห็นหน้าคนที่เราไม่เคยเห็น ได้คุยกะคนที่อยากคุย ได้เหม็นหน้าคนที่เราเกลียด
ได้เห็นของดีของเพื่อนเวลาอาบน้ำ....อันนี้เราไม่ได้โรคจิตนะ ของมันเห็นได้เอง
ได้นอนดูดาวที่สวยที่สุดในโลก ดูดาวตกด้วย ท้องฟ้าโปร่ง โล่ง สบาย
นอนดูดาวกันตอนกลางคืน ได้เเกล้ง อีวอด้วย .. คือนอนกันประมาณ5คน เเล้วมันดันหลับก่อน
เราบอกเเล้วว่าใครหลับก่อนโดนทิ้งให้นอนตากน้ำค้างเเน่....คุนวอเธอลองของ
เธอหลับ เราเลยไปเรียกรุ่นพี่ให้มาปลุกมัน บอกว่าเช้าเเล้ว
ส่วนพวกเราก็เเอบดูอยู่ กลั้นหัวเราะกันเเทบเเย่ เเบบว่าขำกลิ้ง.....
ก่อนที่พี่เค้าจะปลุกมันได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเพราะพวกรุ่นพี่ ขำกลิ้งค่ะ สมน้ำหน้ามัน โดนเเกล้ง
เเต่ว่าไปคราวนี้ไม่ได้เล่นไพ่ ข้อดีของการเล่นไพ่คือการได้สานสัมพันธ์รุ่นเพื่อนเเละรุ่นน้องค่ะ
การได้กดินตังเพื่อนเป็นอะไรที่สะใจมากค่ะ.....เวลาได้ผ่านไปเร็วเหลือเกินค่ะ เราสนุกจนลืมความเหนื่อยของเเต่ละวัน
เเละลืมไปว่าพวกพี่เค้าเหนื่อยกันสายตัวเเทบขาดค่ะ...ปีหน้าอยากไปเเต่มันคงเเหนื่อยมากเเน่ๆ
หวังว่าน้องเเละเพื่อนๆจะไปกันเยออะๆเเบบนี้อีก
ค่ายวันสุดท้ายก็ประทับใจ เราได้รู้ว่าใครคิดยังไงกับเราเป็นการอ่านสิ่งที่พวกเค้าเปิดใจถึงเราค่ะ


ความจริงเราอยากเล่าให้ได้มากกว่านี้เเต่มันนานจนกไม่ออกอะ
สรุปก็คือตั้งเเต่การเดินทางบนรางรถไฟที่ยาวนาน สถานที่ที่ทุรกันดาน เพื่อนร่วมโลกที่ไม่ได้รับเชิญ
เพื่อนที่นิสัยเเปลกๆ เเละกิจกรรมทั้งหมดจะถูกบันบึกลงในความทรงจำของเราตลอดไป
เพราะจะมีสักกี่คนที่จะมาร่วมทุกข์ ร่วมสุขกะเราครั้งละมากๆขนาดนี้

**ขอบคุณเพื่อนชาวเเจ๋ที่ไปด้วยกัน ปอ วอ เเพม เเพร หนู กุ๊ก อมร ขอบคุณที่ร้องไห้เเละหัวเราะเป็นเพื่อนกัน
มีคำนึงที่เเพมพูดตอนที่พวกเราร้องไห้เรื่องได้เอฟกันเเล้วเเพมร้องเหมือนกันทั้งที่เเพมผ่าน เเล้วเราถามว่าเเพมร้องทำไม เเพมตอบมาว่า
**เป็นเพื่อนมึงไง**
เราจะจำมันไว้ตลอด

**ขอบคุณรุ่นพี่ทุกคนที่เหนื่อยเพื่อพวกเรา รักพวกพี่จริงๆ
***ขอบคุณรุ่นน้องทุกคนที่ไป คุยกันน้อยเเต่รู้ใจกันมากขึ้นเนาะ
***ขอบคุณค่ายที่ทำให้พวกเราได้มีกันเเละกัน
****ขอบคุณปอมากที่เปิดเพลงจนเราร้องไห้โฮ........

ความประทับใจในมหาวิทยาลัย


4 ปีกับรั้วนนทรี
ความประทับใจในมอ แห่งนี้ คือการที่ฉันได้เจอเพื่อนๆ ซึ่งไม่คิดว่าจะมารวมตัวกันได้มากมายขนาดนี้ กลุ่มฉันมีถึง 13 คน เป็นชายแท้ๆ เพียงหนึ่งเดียว ไม่แท้อีก 2 คน และบรรดาผู้หญิงถึกๆถึง10คน ต่างคน ต่างที่ ต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างมารวมตัวกันได้อย่างลงตัว กว่า 4 ปีที่พวกเราผ่านอะไรมาตั้งมากมายด้วยกัน ผ่านวันดีดี และมีความทรงจำร่วมกันมากมายทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ และเหนื่อยมาด้วยกัน จนทำให้พวกเราสนิทกันมากขนาดนี้ นี่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างนึงของเกษตร คือ การที่มีกิจกรรมเยอะมากถึงมากที่สุด จนแทบไม่มีเวลาไปเจอใครๆ เจอกันแต่หน้าเดิมๆ ทุกวัน เป็นเดือน จนเป็นปี
เป็นเวลากว่า 4 ปี ที่พวกเราแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย ขัดแย้งกันก็น้อยมาก เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องไปให้ครบแก๊งค์ทั้ง 13 คน กว่าจะไปกันได้แต่ละทีก็ต้องรอกันไปกันมา กว่าคนนู้นจะเข้าห้องน้ำเสร็จ กว่าสิบสาวจะแต่งหน้าเสร็จ ช้ากันจนเป็นนิสัย จะขึ้นรถทีก็ต้องมีที่พอสำหรับพวกเรา ถ้าไม่พอพวกเราจะไม่ไป ทำให้พวกเราต้องเดินไปห้องเรียนกันเป็นประจำซึ่งห้องเรียนก็ไม่ได้ไกลกันมาก บางทีก็จากคณะเศษฐศาสตร์ไปศ.ร3 จากศ.ร3กลับมาคณะ เดินกันทุกวี่วัน จากที่ไกลๆ ก็กล้ายเป็นใกล้ไป ลองให้เด็กที่อื่นมาเดินอย่างพวกเรา มีหวังลาออกแน่ๆ นี่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของเกษตร สร้างผู้หญิงให้แข็งแรง(ถึกนั่นเอง) พวกเราเดินตากแดดกันจนชินทำให้ดำกันไปเป็นแถบๆ หากจะบอกว่าเกษตรนั้นร่มรื่นก็คงจริงอยู่ (ถ้าโลกนี้ไม่มีแดด) ไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมเด็กเกษตรตัวดำ!!!!! เพราะทุกพื้นที่ในเกษตรมีแต่ลำแสงยูวี ที่จะคอยเผาไหม้ให้เด็กเกษตรดูเหมือนเกษตรกรลงไปทุกวัน
สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครเดินเข้ามาเกษตรจะเข้าใจเกษตรได้ดีคือ ความเขียวขจีของต้นไม้ที่น้อยเหลือเกินและน้ำสีตุ่นๆ มีกลิ่นหน่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าประตูพหลฯ คณะวิศวะ คณะสังคม และข้างเศษฐศาสตร์
อีกหนึ่งความประทับก็คงจะเป็นความกว้างใหญ่ของเกษตร ที่จนตอนนี้จะเรียนจบก็ยังคงเดินไม่ทั่วเกษตรซะที ตรอก ซอก ซอย เยอะแยะไปหมดคณะทั้ง14คณะก็ยังไม่รู้เลยอยู่ตรงไหนบ้าง(กว้างจริงๆ)จนต้องมีรถตะลัย
รถตะลัย คงย่อมาจาก รถตะลุยมหาวิทยาลัยมั๊ง รถนี่ก็แปลก ตอนคนรอเยอะๆ กลับไม่มีสักคัน กว่าจะมาทีคนที่รอก็จะเดินแซงๆ กันขึ้นไปรอให้หน้าที่สุดเพื่อที่จะได้ขึ้นรถ คนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วจะโดนแซงโดยคนที่มาทีหลัง ใครละจะไปยอมกันได้ ก็ต้องแซงกลับไปให้หน้าที่สุด ปรากฎว่ารถตะลัยก็แสนจะกรวน.....มันดันจอดท้ายป้าย(ซะงั้นอะ) แล้วคนที่อยู่ข้างหน้าทำยังไงละ???? ก็ต้องวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเหมือนกับว่า มันมีคันเดียวในโลก พอตอนไม่มีคนรอที่ป้าย รถตะลัยเจ้ากรรมดันจอดพร้อมกันถึงสามสี่สาย โธ่..รถตะลัยที่เคารพ....
อีกตอนจะลงรถ เคยสังเกตุกันไหมว่า จะมีกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่นิสิต ไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของรถจ็จะรีบแทรกตัวออกมาเพื่อที่จะลง ไม่เข้าใจว่า ลงช้าจะไม่ได้ลงรึไง???? แต่สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้เด็กเกษตรอย่างเรามีความอดทนและตื่นตัวตลอดเวลา
จะให้บรรยายถึงความประทับในเกษตรแห่งนี้คงเล่าได้ไม่หมดเพราะเกษตรเหมือนบ้านหลังที่สอง ที่ที่เราเจอเพื่อน เจอพี่ เจอน้องๆ ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ เกิดทั้งความรัก ความผูกพัน มิตรภาพ เสียงหัวเราะ และน้ำตา หากจะถามว่าเกษตรคืออะไร คงตอบได้ว่า**เกษตรคือชีวิต**




Whatever You Like - T.I.